Monday, July 28, 2014

DNA ข้าวแอฟริกา กุญแจไขปัญหาโลกอดอยาก

จากสถิติซึ่งรวบรวมโดย World food program (WFP) ระบุว่าในปี 2013
ผู้คนกว่า 842 ล้านคน (500 ล้านคนในเอเชีย) ยังได้รับอาหารไม่เพียงพอและมีส่วนให้ 45% ของเด็กในประเทศกำลังพัฒนาเสียชีวิตก่อนอายุ 5 ขวบ
เห็นได้ว่าความอดอยากเป็นปัญหาที่ไม่ธรรมดาของมนุษยชาติ


ล่าสุดได้ปรากฎความหวังใหม่ที่อาจจะช่วยให้มนุษยชาติเอาชนะปัญหานี้ได้เร็วขึ้น
โดยงานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Nature Genetics ระบุว่านักวิจัยประสบความสำเร็จในการทำแผนที่รหัสพันธุกรรมของข้าวแอฟริกัน (Oryza glaberrima) ซึ่งทนทานต่อภาวะแห้งแล้งได้ดีกว่าข้าวเอเชีย (Oryza sativa)

ซึ่งหากนักวิจัยสามารถระบุรหัส DNA ส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสามารถทนแล้งของข้าวแอพริกันได้ จะนำไปสู่การสร้างพันธุ์ข้าวชนิดใหม่ที่ทั้งทนแล้งและให้ผลผลิตมาก

"การปฏิวัติเขียวจะต้องเกิดขึ้นอีกครั้งเพื่อรับมือกับจำนวนประชากรโลกที่จะเพิ่มจาก 7 พันล้านคน เป็น 9 พันล้านคนในปี 2050 (พ.ศ. 2593) ซึ่งเราจำเป็นจะต้องมีพืชพันธุ์ที่ให้ผลผลิตมากกว่าปัจจุบัน 2-3 เท่า ในขณะที่ใช้ปุ๋ยและน้ำลดลง" 
ที่มา AFP

Tuesday, July 22, 2014

Cheese แท้ไม่ง้อวัว


กระแสรักษ์สุขภาพที่มาแรงทำให้คนไทยและทั่วโลกหันไปกินอาหารมังสวิรัติกันมากขึ้น ซึ่งเรื่องความเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพนั้นคงไม่ต้องพูดถึง
แต่เชื่อว่าหลายคนโดยเฉพาะผู้ที่เริ่มกินมังสวิรัติใหม่ๆ คงจะประสบปัญหาคิดถึงรสชาติของอาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์และนมเป็นแน่

ล่าสุดห้องแลป 2 แห่งใน รัฐแคลิฟอเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ประสบความสำเร็จในการผลิตชีส (ที่มีรสชาติเหมือนของจริง) โดยไม่ใช้นมวัว แต่ใช้ยีสสำหรับอบขนมปังแทน

โดยการผลิตชีสนี้จะใช้การใส่ DNA ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเข้าไปในยีส ซึ่งยีสเหล่านี้จะผลิตโปรตีนนมออกมาและถูกนำไปผ่านกระบวนการทำชีสต่ออีกทีหนึ่ง



เพื่อให้มั่นใจว่าชีสที่ได้ปราศจากส่วนประกอบจากสัตว์จริง ทีมนักวิจัยซึ่งเรียกตนเองว่า San Francisco Bay Area iGEM นี้จะสร้าง DNA ที่ต้องใช้ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยอาศัยต้นแบบจาก DNA ของวัว
นอกจากนี้ทีม San Francisco Bay Area iGEM ยังมีแผนที่จะผลิตยีสจากนมมนุษย์(?) โดยใช้ DNA มนุษย์เป็นพิมพ์เขียวแทน DNA วัว
โดย San Francisco Bay Area iGEM อธิบายว่าวิธีนี้จะได้วัตถุดิบที่มีสารอาหารเหมาะสมกับร่างกายมนุษย์มากกว่าและยังป้องกันอาการแพ้โปรตีนจากนมวัวได้อีกด้วย


พิเศษ! สำหรับผู้ที่อยากมีส่วนร่วมในการสร้างชีสแบบใหม่นี้ ทีม San Francisco Bay Area iGEM เปิดโครงการระดมทุนผ่านเว็บไซต์ Indie gogo ในชื่อ Real Vegan Cheese! โดยเปิดระดมทุนถึงวันที่ 10 สิงหาคม 
(Know-how ทั้งหมดจะถูกเปิดเผยเป็นสาธารณะสมบัติ)

Tuesday, July 15, 2014

ฟินแลนด์​ เตรียมทดสอบเครือข่ายขนส่งสาธารณะอัจฉริยะ "Smart Transport System"

การเดินทางแบบ Carpooling​ หรือที่หลาย(สิบปี?) ก่อนเมืองไทยเคยเรียกว่า ทางเดียวกันไปด้วยกัน นั่นเป็นระบบแชร์รถยนต์​ระหว่างผู้ที่จะเดินทางไปในเส้นทางเดียวกันทั้งรถยนต์​ส่วนตัวและแท็กซี่​ ซึ่งจะช่วยลดจำนวนรถยนต์​บนถนนรวมถึงการใช้น้ำมันลง
อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวมีอันต้องล้มพับไปด้วยปัญหาหลายประการ

ปัจจุบันระบบ Carpooling​ กลับมาเป็นที่นิยมในหลายประเทศ เนื่องจากโซเชียลมีเดียและแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนช่วยให้การสื่อสารด้านคนและเส้นทางทำได้ง่ายขึ้นมาก









รวมถึงบริการ Carpooling โดยเฉพาะอีกหลายเจ้า
เช่น carpooling.com (ให้บริการ 9 ประเทศในยุโรป), 
carmacarpool (มีระบบแชร์แบบเรียลไทม์)










ล่าสุดที่เมือง Helsinki ประเทศ Finland ได้ตัดสินใจยกระดับการ Carpooling​ ไปอีกขั้นด้วยการนำมารวมกับระบบขนส่งสาธารณะ
โดยเทศบาลเมือง Helsinki ได้ตั้งเป้าหมายที่จะทดแทนรถยนต์ส่วนบุคคลส่วนใหญ่ในเมือง ด้วย
เครือข่ายระบบขนส่งสาธารณะที่รวมขนส่งมวลชน, carpoolและtaxi เข้าไว้ด้วยกัน

ตามโมเดลที่วางไว้ระบบดังกล่าวนี้จะมี "ผู้ให้บริการขนส่ง" ที่จะส่งข้อมูลแนะนำเส้นทางและวิธีการเดินทางที่คำนึงถึงข้อมูลการจราจรรวมถึงสภาพอากาศแก่ผู้ใช้แบบเรียลไทม์ ผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทดีไวซ์ ช่วยให้เดินทางถึงที่หมายได้สะดวก, ต่อเนื่องและรวดเร็ว
ทั้งนี้จะมีตัวเลือกการเก็บค่าใช้งานในหลายรูปแบบทั้งเหมาจ่ายรายเดือน (แถมตั๋วเดือนขนส่งมวลชนด้วย) หรือคิดตามระยะทาง

นอกจากนี้ Sonja Heikkilä วิศวกรขนส่งผู้เสนอไอเดียนี้กล่าวว่า คนรุ่นใหม่ไม่มองว่ารถยนต์เป็นเครื่องเแสดงสถานะอีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้คนเหล่านี้ยังต้องการระบบขนส่งที่เรียบง่่าย, คล่องตัวและราคาถูกมากกว่า 

เทศบาลเมือง Helsinki วางแผนที่จะเริ่มทดสอบระบบนี้ในย่าน Vallila ช่วงปี 2015 และขยายพื้นที่มากขึ้นในปีต่อๆ ไปก่อนจะมาใช้อย่างเต็มรูปแบบในปี 2025 หรือในอีก 10 ปีต่อจากนี้

หากการทดสอบที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าประสบผลสำเร็จ โมเดลการขนส่งสาธารณะนี้อาจเป็นคำตอบของปัญหาการจราจรในเมืองใหญ่ทั่วโลก (กทม. ภูเก็ตและเชียงใหม่ด้วย) ก็เป็นได้

ที่มา : helsinkitimes


















Vantablack​ ที่สุดแห่งความดำ

เมื่อสัปดาห์​ที่ผ่านมาบริษัท Surrey NanoSystem ในประเทศอังกฤษได้เปิดเผยถึงความสำเร็จในการพัฒนาวัสดุที่ "ดำ" ที่สุดในโลก
โดยวัสดุใหม่ที่ชื่อว่า Vantablack นี้สะท้อนแสงเพียง 0.035% เท่านั้น ทำให้มันเป็นวัสดุที่ดำที่สุดเท่าที่มนุษย์จะสร้างได้ในปัจจุบัน​

ภาพจากSurrey NanoSystem 

จากภาพตัวอย่างที่ Surrey NanoSystem เปิดเผยออกมานั้น แสดงถึงความดำสนิทของวัสดุนี้ได้เป็นอย่างดี
เรียกได้ว่าเหมือนมองลงไปในหลุมลึก

สำหรับการใช้งาน Ventablack ทาง Surrey NanoSystem ให้ข้อมูลแก่สำนักข่าว The Independent ​ว่า วัสดุชนิดนี้จะนำไปใช้ในวงการดาราศาสตร์​ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแม่นยำให้แก่กล้องโทรทรรศน์​ที่จะบรรทึกภาพจักวารยุคดึกดำบรรพ์​
รวมถึงมีความเป็นไปได้ที่จะนำไปใช้ในทางการทหารอีกด้วย

ด้านการผลิต Ben Jensen หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีของ บริษัท Surrey NanoSystem อธิบายว่า Vantablack​ สร้างจากการรวมคาร์บอนนาโนทิวป์รูปร่างคล้ายหลอดกาแฟเข้าด้วยกัน ซึ่งหลอดเหล่านี้มีขนาดเล็กมากจนแสงไม่สามารถส่องผ่านเข้าไปได้ ส่วนแสงที่ลอดผ่านช่องว่างระหว่างหลอดจะสะท้อนไปมาในโครงสร้างและถูกดูดซับไปจนหมด ทำให้วัสดุนี้มีความดำมืดอย่างแท้จริง

ที่มา The Independent


Wednesday, July 9, 2014

Square Enix ปล่อย free to play "Bravely Default" .


ดูเหมือน Square Enix จะยังไม่พอใจกับความนิยมถล่มทลายทั่วโลกของ Bravely​ Default​

โดยล่าสุด Square​ Enix​ ได้นำโมเดล Free to play มาใช้ ด้วยการเปิดให้ผู้เล่น 3DS ในญี่ปุ่น สามารถดาว์นโหลด Bravely​ Default​ ไปเล่นได้ฟรียาว 4 Chapter ก่อนที่จะให้เลือกว่าจะจ่ายเงิน 2,000 เยน ซึ่ง​ถูกกว่าราคาเปิดตัวกว่าครึ่ง​เพื่อเล่นต่อหรือไม่

มีการวิเคราะห์​กันว่า Square​ Enix​ ต้องการจับผู้เล่นส่วนที่เหลือ โดยอาศัย free to play เป็นเหยื่อ​ล่อ เนื่องจาก Chapter​ 4 เป็นช่วงที่เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้น ชนิดที่การันตี​ได้ว่าผู้เล่นเกือบ 100% จะต้องจ่ายเงินเพื่อเล่นต่อแน่นอน

เมื่อเปรียบเทียบ​กับ free demo หรือการลดราคาแล้ว ดูเหมือนว่ากลยุทธ์​ใหม่นี้
น่าจะเป็นที่สนใจและตอบโจทย์​นักเล่นเกมได้ดีกว่า

หากกลยุทธ์​นี้ได้รับผลตอบรับดี
โมเดลนี้อาจกลายเป็นเทรนด์​ของวงการเกมคอนโซล​ก็เป็นได้

Wednesday, July 2, 2014

สุขสันต์วันเกิด 35 ปี Walkman!

ในวันนี้เมื่อ 35 ปีก่อน บริษัทอิเล็กทรอนิกส์สัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่งได้วางตลาดสินค้าที่จะให้นิยามใหม่ของคำว่า "ความบันเทิง" ไปตลอดกาล รวมถึงวางรากฐานให้แก่ iPod
สินค้านั้นก็คือ เครื่องเล่นเทปแบบพกพาหรือ Sony Walkman ซึ่งวางขายเป็นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1979 
Walkman รุ่นแรก -ภาพจาก lpost.ru
แนวคิดการสร้างเครื่องเล่นเทปพกพานี้มาจากความต้องการส่วนตัวของหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งโซนี่ "Masaru Ibuka

Masaru Ibuka ภาพจาก shmj.or.jp



ขณะนั้น Masaru Ibuka ดำรงตำแหน่งประธานร่วมของโซนี่ ทำให้เขาต้องเดินทางไปเจรจาธุรกิจในต่างประเทศบ่อยครั้ง ซึ่ง Ibuka เองชอบฟังเพลงโอเปราห์ระหว่างเดินทางด้วยเครื่องเล่นเทป 
TC-D5 
เครื่องบันทึก-เล่นเทปพกพา Sony TC-D5








แต่เครื่อง TC-D5 ถูกสร้างมาเพื่อบันทึกเทปเป็นหลัก จึงมีขนาดใหญ่และมีเพียงลำโพงระบบ Mono ทำให้ไม่เหมาะแก่การพกพาเพื่อฟังเพลง












ด้วยเหตุนี้ Ibuka จึงขอให้ Norio Ohga นักออกแบบผลิตภัณฑ์ของโซนี่ช่วยสร้าง "เครื่องเล่นเทปแบบพกพา" แท้ๆให้ เหตุการณ์นี้จึงเป็นต้นกำเนิดของ Sony Walkman ซึ่งเป็นเครื่องเล่นเทปพกพาที่มีขนาดเล็ก, น้ำหนักเบาและให้เสียงในระบบสเตอริโอ (ผ่านหูฟัง)
โฆษณา Walkman ช่วงยุค 1980s ภาพจาก Gizmodo

???รู้หรือไม่กับ Sony Walkman???

ภาพลักษณ์ที่มีปัญหา
แม้จะประสบความสำเร็จในภายหลัง ด้วยยอดขายรวมกว่า 400 ล้านเครื่องทั่วโลก (200 ล้านสำหรับเครื่องเล่นเทป) แต่ในช่วงเริ่มต้นเส้นทางของ Walkman นั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
อุปสรรค์หนึ่งก็คือ "หูฟัง" เนื่องจากในยุค 70s หูฟังยังไม่ใช่ของใช้สำหรับคนทั่วไป 
แต่เป็น "อุปกรณ์ช่วยฟังของผู้พิการทางการได้ยิน" 
ส่งผลให้การตอบรับของผู้บริโภคไม่ดีนัก จนโซนี่ต้องจ้างวัยรุ่นชาวญี่ปุ่นให้ใส่หูฟังของ Sony Walkman เดินไปมาในเมืองโตเกียวเพื่อ สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้แก่การใส่หูฟัง เลยทีเดียว

Share your music before it was cool.
เครื่อง Walkman รุ่นแรกมีช่องเสียบหูฟัง 2 ช่อง รวมถึงปุ่มพิเศษที่จะหรี่เสียงเพลงพร้อมกับเปิดไมโครโฟน (?) 
สาเหตุของการออกแบบพิลึกพิลั่นนี้เนื่องมาจาก 
โซนี่เกรงว่า "การฟังเพลงผ่านหูฟังโดยไม่สนใจคนรอบข้างนั้นเป็นมารยาทที่ไม่ดี" ตามมาตรฐานสังคมญี่ปุ่นในสมัยนั้น จึงออกแบบให้สามารถแชร์เพลงให้คนอื่นฟัง (เสียบหูฟังเพิ่มอีกอัน)ได้รวมถึงกดปุ่มเพื่อลดเสียงดนตรีและพูดคุยกันผ่านหูฟังระหว่างเพลงได้ด้วย
แน่นอนว่าโซนี่คิดผิดในเรื่องนี้ผู้บริโภคทุกคนชอบฟังเพลงคนเดียวมากกว่า Walkman รุ่นต่อๆ มาจึงไม่มีฟังชั่นนี้อีก
ช่องเสียบหูฟัง 2 ช่องสำหรับแชร์เสียงเพลง ภาพจาก t3.com
ยิ่งฟังยิ่งฟิต
นอกจากสร้างวัฒนธรรมการฟังเพลงแล้ว Walkman ยังมีส่วนช่วยสร้างอีกหนึ่งวัฒนธรรมขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ นั่นคือ การออกกำลังกาย 
โดย Walkman ได้นำเสียงเพลงมาเพิ่มชีวิตชีวาให้กับการออกกำลังกายที่น่าเบื่อ
ส่งผลให้ในช่วงปี 1987-1988 ในอเมริกามีผู้ออกกำลังกายด้วยการวิ่งและเต้นแอร์โรบิคมากขึ้น 30% 

เรื่องปวดตับของอุสาหกรรมเพลง
เราคงคุ้นเคยกันดีกับท่าทีหวาดกลัวจนถึงขั้นต่อต้านการมาถึงของ mp3, Napster และ itune ของบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเพลง ที่กลัวสูญเสียรายได้ให้กับการละเมิดลิขสิทธิ์
ซึ่งท่าทีเดียวกันนี้เกิดขึ้นในยุคของ Walkman เช่นกัน
จนมีแคมเปญ "Home taping is killing music. And it's illegal"
ที่มีเป้าหมายเพื่อรณรงค์ไม่ให้ผู้คนอัดเพลงจากวิทยุลงเทปแทนที่จะซื้อ
แคมเปญนี้คุ้นซะไม่มี ภาพจาก wikipedia 
ดักแก่สำหรับคนที่เกิดทัน



ข้อมูลจาก 

Wednesday, June 25, 2014

Gari Gari Kun ไอศกรีมหวานเย็นจากญี่ปุ่น

ต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาผู้เขียนได้มีโอกาสไปซื้อของที่ร้าน Lawson 108 
ก็ได้เห็นตู้แช่ไอศกรีมขนาดเล็กแยกต่างหากจากตู้ของวอลล์ ซึ่งเมื่อเข้าไปดูก็เห็นว่ามี Gari Gari kun มาวางขายแล้วซึ่งก็ทำให้แปลกใจไม่น้อยทีเดียว
5 รสที่ขายในไทยตอนนี้
เพราะ Gari Gari kun นั้นเป็นไอศกรีมยอดนิยมชนิดหนึ่งของคนญี่ปุ่น 
ซึ่งวางขายตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 หรือกว่า 33 ปีมาแล้ว
แต่ก็แน่นอนว่าไม่มีการนำเข้ามาวางขายในไทยมาก่อน

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียโอกาส ก็ได้ลองจัดมาซะ 1 แท่ง เป็นรสพีช ราคา 29 บาท

สิ่งแรกที่ประทับใจคือ ดูเหมือนจะละลายช้าดีมาก เพราะซื้อจากร้าน Lawson 108 ที่อโศกใส่กระเป๋าแล้วนั่งรถใต้ดินมาห้วยขวาง รอลิฟท์ขึ้นออฟฟิศอีกหลายนาที
ตอนแกะออกมาก็ยังคงรูปเป็นแท่งดีอยู่

สำหรับรสพีชจะมีสีชมพูอ่อน ตัวเนื้อไอศกรีมของ Gari Gari kun จะเป็นเหมือนน้ำแข็งใสอัดแท่ง คล้ายกับไอศกรีมหลอดของไทย แต่ไม่แข็งมากสามารถกัดได้สบายๆ

ด้านรสชาติจะเป็นแบบหวานอมเปรี้ยวอ่อนๆ หอมกลิ่นลูกพีช
รสชาติไม่จัดมากสามารถกินเรื่อยๆ ได้ทั้งแท่งโดยไม่รู้สึกเลี่ยน 
โดยรสชาติจะเข้มขึ้นในส่วนกลางแท่งที่เห็นเป็นสีชมพูเข้มกว่ารอบนอก คาดว่าส่วนที่เป็นน้ำหวานคงรวมกันอยู่ตรงกลาง
แถมยังละลายช้าขนาดนั่งชิวค่อยๆ กินก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะละลายให้หยดเลอะเทอะ

สำหรับผู้ที่อยากลองกินดูตอนนี้ Gari Gari kun นอกจากจะขายใน Lawson 108 แล้วยังมีอีกหลายที่เหมือนกัน เช่น อิเซตัน, UFM Fuji และที่อื่นๆ ตามภาพ
นอกจากนี้ยังมีการเปิดเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Gari Gari kun ในประเทศไทยด้วย
garithailand.com
ซึ่งในเว็บไซต์จะมีข้อมูลประวัติของไอศกรีมและคาแรกเตอร์  Gari Gari kun, โรงงาน, สินค้าที่มีขาย และช่องทางขาย
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลทางโภชนาการของไอศกรีมแต่ละรสอยู่ด้วย
ตัวอย่างรสพีช

ปล. น่าเสียดายที่ไม่มีรสครีมโซดา (สีฟ้า) ขาย หวังว่าถ้าขายดีในอนาคตคงจะเอามาบ้างล่ะนะ

Tuesday, June 24, 2014

Logitech T400 Zone Touch Mouse



แม้จะเก่าไปสักหน่อยกับเมาส์ไร้สายที่วางตลาดตั้งแต่ 2 ปีก่อน แต่ก็น่าจะเป็นเมาส์หลายคนมองหาอยู่ เนื่องจากขนาดที่ใหญ่เหมาะมือสำหรับเหล่าคนมือใหญ่ทั้งหลาย (รวมถึงผู้เขียนเองด้วย) ซึ่งช่วยลดปัญหาปวดข้อมือได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตามคงจะขอข้ามเรื่อง Spec ทั้งหลายไปเนื่องจากเว็บ Logitech เองจะละเอียดกว่า ดังนั้นจะขอเน้นไปที่ความรู้สึกจากการใช้งานจริงเพื่อให้เป็นประโยชน์กับผู้อ่านที่กำลังมองหาเมาส์ใหม่อยู่

วัสดุและการออกแบบ

ในส่วนของวัสดุ แม้จะดูเหมือนมีชิ้นส่วนที่เป็นยาง แต่ T400 เป็นพลาสติกล้วนทั้งตัว รวมถึงส่วนด้านข้างที่ทำร่องกันลื่นไว้ด้วย
แม้จะเป็นพลาสติดแต่ด้วยรูปร่างที่ลู่เข้าหาฐานทำให้สามารถจับได้ถนัดมือไม่แพ้วัสดุยางในรุ่นอื่น และในระยะยาวอาจจะดีกว่าเพราะคงไม่ลอกหรือยุบตัว (M505 ของผู้เขียนยางข้างยุบเป็นรูไปแล้ว)



สำหรับรุ่นนี้ด้านบนจะต่างจาก M600 ตรงที่ปุ่มคลิกซ้ายและขวาเป็นแบบปกติ ในขณะที่ Scroll wheel ตรงกลางจะเป็นแบบสัมผัส แต่ก็สามารถคลิกลงไปได้ด้วย
แม้ในภาพจะเห็นหมือนมีการเซาะร่องแนวขวางเอาไว้ แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงการติดสติกเกอร์เอาไว้เท่านั้น









ส่วนด้านล่างจะเป็นสวิตเปิด/ปิด ไฟบอกสถานะและช่องใส่ถ่านขนาด AA 2 ก้อน กับตัวรับสัญญาณ Unify โดยฝาปิดเป็นแบบสไลด์ออกด้านหลัง ไม่ต้องกดปลดล็อกก่อน









การใช้งาน



รูปร่างของ T400 จะแบนราบกว่าเมาส์ทั่วไปอยู่พอสมควร แต่ก็มีความยาวมากกว่าด้วย ทำให้สามารถวางมือได้อย่างสบายไม่รู้สึกว่าต้องคีบเมาส์เอาไว้เหมือนเวลาใช้ ไมโครเมาส์ที่มีขนาดเล็ก
สำหรับผู้ที่เคยชินกับเมาส์หลังนูน อาจจะต้องปรับตัวโดยวางนิ้วล้ำมาข้างหน้ามากหน่อย

แต่สิ่งสำคัญที่อาจเป็นปัญหาของ T400 คือแป้นสัมผัสตรงกลาง ซึ่งอย่างที่บอกไปว่าเป็นเพียงแป้นเรียบไม่มีการทำร่องหรือเล่นระดับให้แตกต่างจากปุ่มคลิกซ้ายและขวา ส่งผลให้ช่วงแรกอาจหาแป้นนี้ไม่เจอหากไม่หันมามอง แต่ใช้ไปสักพักก็จะชิน

นอกจากนี้ใช้งาน Scroll wheel ด้วยการสัมผัสอาจทำให้กะจำนวนรอบการหมุนยากกว่าแบบลูกล้อปกติ

อย่างไรก็ตามการที่เป็นระบบสัมผัสก็มีข้อดีตรงที่สามารถตั้งค่าฟังชั่นต่างๆ ได้หลากหลาย เช่น การทัช 2 ครั้งที่ส่วนหน้าเพื่อ Zoom in และ 2 ครั้งที่ส่วนหลังเพื่อ Zoom out ซึ่งช่วยให้ดูหน้าเว็บหรือโปรแกรมแต่งภาพได้ง่ายและรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าอื่นๆ เพิ่มเติมได้ในโปรแกรม "SetPoint" ของ Logitech เอง ซึ่งประกอบด้วย สลับโปรแกรม, เรียก/ซ่อน Desktop และเรียก start menu

สรุป

ข้อดี

  • ใหญ่สะใจจับถนัดมือ
  • ฟังชั่นเยอะ ลดการพึ่ง keyboard
  • วัสดุ(น่าจะ)ทนดีในระยะยาว และไม่ค่อยเกิดคราบสกปรก

ข้อเสีย

  • รูปร่างแปลก บางคนอาจไม่ชิน
  • นรกสำหรับเกมส์ที่ต้องใช้ Scroll wheel อย่างแม่นยำ (zoom เข้า/ออก, เปลี่ยนอาวุธ/ไอเทม) เพราะกะรอบหมุนยากมาก
  • ตั้ง Custom ฟังชั่นสำหรับส่วนทัชไม่ได้ (ได้แค่ 3 ฟังชั่นที่มีให้)

Monday, June 23, 2014

ซัมซุงกับก้าวแรกสู่ Ergonomics Design

ซัมซุงได้เปิดตัวสินค้าใหม่ในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน หรือ Home applience (HA) ใหม่ 2 ไลน์ด้วยกัน คือ ตู้เย็น และ เครื่องซักผ้า
แน่นอนว่าด้วยความเป็นซัมซุงสินค้าทั้ง 2 ไลน์นี้ย่อมอัดแน่นไปด้วยนวัตกรรมด้านอิเล็คทรอนิกส์อย่างระบบดิจิตอลอินเวอร์เตอร์ และ การสั่งงานผ่านแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน แต่สิ่งที่น่าสนใจสำหรับการเปิดตัวสินค้าใหม่ครั้งนี้ คือ "ปรัชญาการออกแบบ" ที่ซัมซุงนำมาใช้

Ergonomics Design - ไม่ต้อง Smart ก็ล้ำหน้าได้

โดยซัมซุงได้เรียกแนวคิดใหม่นี้ว่า "Creating Happier Homes" หรือ การสร้างความสุขในครอบครัวให้มากขึ้น ซึ่งก็ฟังดูสวยหรูมีเอกลักษณ์ดีตามมาตรฐานการทำการตลาดของแบรนด์สินค้าในปัจจุบัน
แท้จริงแล้วปรัชญาการออกแบบใหม่ของซัมซุงนี้เรียกว่าเป็น Ergonomics Design หรือการออกแบบที่คำนึงถึงความสะดวกในการใช้งานของผู้ใช้เป็นหลัก
ทั้งในด้านสรีระศาสตร์และความรวดเร็วในการใช้งาน ซึ่งเป็นปรัชญาการออกแบบที่เคยช่วยให้สินค้าญี่ปุ่นสามารถเอาชนะสินค้าจากยุโรปและอเมริกาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้

ตู้เย็นสำหรับครอบครัว





เริ่มจากตู้เย็นรุ่น Food showcase ซึ่งออกแบบให้ประตูตู้เย็นด้านขวามี 2 ชั้น โดยชั้นที่ 2 จะทำหน้าที่เป็นชั้นวางน้ำหรืออาหารที่หยิบใช้บ่อย นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งชั้นเป็น cheese case สำหรับเก็บชีส, sauce case สำหรับขวดซอส, drink case สำหรับใส่ขวดน้ำดื่ม, snack case และ kid's case สำหรับใส่อาหารว่าง
โดย snack case และ kid's case จะอยู่ด้านล่างเพื่อให้เด็กหยิบได้ง่าย


ซักผ้าแบบไม่ยุ่งยาก


ด้านเครื่องซักผ้าเงอก็มีหลายจุดที่ออกแบบได้น่าสนใจ เช่น การใช้จอสัมผัสขนาด 5 นิ้ว ในการสั่งงานเครื่อง พร้อมทั้งใช้ UI ที่เน้นภาพ เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจคำสั่งต่างๆ ได้ง่าย
รวมถึงการออกแบบให้มีถังเก็บน้ำยาปรับผ้านุ่มในตัวเครื่อง ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องตวงและใส่น้ำยาทุกครั้ง โดยเครื่องจะชั่งน้ำหนักและคำนวณปริมาณน้ำยาโดยอัตโนมัติ





นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มความสูงและความกว้างของถังซักและเพิ่มองศาของบานสวิงซึ่งช่วยให้ใส่ผ้าได้สะดวกขึ้น





เรียกได้ว่าเกือบทั้งหมดนี้ เป็นลักษณะของการออกแบบที่มี gimmick เล็กน้อยๆ ซึ่งไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีแปลกใหม่ แต่กลับช่วยให้ผู้ใช้งานใช้งานสินค้าได้ง่ายขึ้นมาก
น่าจับตาดูว่าซัมซุงจะขยายปรัชญาการออกแบบนี้ไปยังสินค้าอื่นอีกหรือไม่

Tuesday, June 17, 2014

เรื่องมันๆ ของมันฝรั่งทอด

เมื่อเดือนที่ผ่านมาเหตุการณ์ แป้งในโยเกิร์ตและนม ได้สร้างความตื่นตัว(และตื่นตระหนก) ในหมู่ผู้บริโภคชาวไทยไปไม่น้อย ซึ่งยังดีที่สุดได้มีผู้เกี่ยวข้องในวงการอุสาหกรรมอาหารออกมาอธิบายถึงข้อเท็จจริงกันเป็นที่เรียบร้อยในกระทู้ "ข้อเท็จจริงเรื่องภาพการทดสอบแป้งในโยเกิร์ต"
แต่นอกจากโยเกิร์ตและนมแล้ว ยังมีของกินอีกหลายประเภทที่มีการผสม "แป้ง" เพิ่มเติมเข้าไปนอกเหนือจากวัตถุดิบหลัก หนึ่งในนั้นก็คือ "มันฝรั่งทอด"

มันฝรั่งทอดหรือ Potato chip เป็นหนึ่งในขนมขบเคี้ยวยอดนิยมของผู้คนในหลากหลายวัฒนธรรม ด้วยความหอมและกรอบของแผ่นมันฝรั่งบางๆ ที่ได้รับการปรุงรสอย่างเข้มข้น ทำให้หลายครั้งก็รู้สึกอร่อยจนหยุดไม่ได้

โดยมันฝรั่งทอดที่เรากินกันบ่อยๆ นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบหลัก ซึ่งจะขอเรียกง่ายๆ ว่าเป็น แบบเลย์ และแบบพริงเกิลส์

มันฝรั่งทอดแบบ เลย์ นั้น จะผลิตโดยการเอาหัวมันฝรั่งมาฝานเป็นแผ่นบางๆ ด้วยเครื่องจักร จากนั้นจึงนำไปผ่านกระบวนการทอด, ปรุงรสและบรรจุลงห่อ

ส่วนแบบ พริงเกิล แม้จะได้ชื่อว่าเป็นมันฝรั่งทอด แต่น่าแปลกใจที่วัตถุดิบของพริงเกิลไม่ได้มีแค่มันฝรั่งทอดเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีแป้งข้าวสาลีและแป้งข้าวเจ้ารวมอยู่ด้วย โดยเทียบเป็นสัดส่วนแล้วมีมันฝรั่งอยู่ประมาณ 42-50%

แต่! ทั้งนี้อย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่าเป็นนี่เป็นการลดต้นทุนหรือหลอกลวงผู้บริโภค การที่มันฝรั่งทอดแบบพริงเกิลส์มีแป้งเป็นส่วนผสมนั้นแท้จริงแล้วเป็นรูปแบบหนึ่งของนวัตกรรมด้านอาหาร

มัน คือจุดอ่อน

เดิมทีมันฝรั่งทอดแบบเลย์ที่ทำจากเนื้อมันล้วนๆ มีจุดอ่อนอยู่ 3 ประการ นั่นคือ ความแข็ง, ความมันและการการขนส่ง
ในเรื่องของความแข็งนั้น เนื่องจากว่าแม้มันฝรั่งทอดแบบแผ่นจะมีมาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1895 หรือ พ.ศ. 2438 แต่กว่าจะมีเทคโนโลยีการปรุงรสแบบที่เราคุ้นเคยนั้นต้องรอจนถึงช่วงปี 1950 หรือพ.ศ. 2493
การกินมันฝรั่งทอดในยุคแรกจึงอาศัยการจิ้มกับซอสชนิดต่างๆ ซึ่งมีทั้งซอสมะเขือเทศ, มันบด, ชีสและแน่นอนว่าซาวน์ครีมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
ด้วยการที่ซอสหลายสูตรมีการใส่ผักและเนื้อลงไปทำให้น้ำซอสมีน้ำหนักมากจนแผ่นมันฝรั่งมักจะหักติดอยู่ในกองซอส ซึ่งก็สร้างความรำคาญให้คนกินได้พอสมควร
ปัญหาต่อมาก็คือ ความมัน เนื่องจากเนื้อมันฝรั่งทอดอุ้มน้ำมันมาก ทำให้มือที่ใช้หยิบชิ้นมันฝรั่งชุ่มไปด้วยน้ำซึ่งก็จะไปเปรอะเปื้อนของอย่างอื่นต่อ เช่น รีโมททีวี, หนังสือ, เสื้อผ้า, ลูกบิดประตู, ตู้เย็นและอื่นๆ
ปัญหาสุดท้ายจะเกี่ยวกับผู้ผลิตมากกว่า นั่นคือการขนส่ง ซึ่งด้วยความบางและขนาดที่ไม่เท่ากัน มันฝรั่งทอดจึงต้องใส่ในถุงและอัดด้วยก๊าซไนโตรเจนเพื่อไม่ให้แตกหักและเหม็นหืน
แต่รูปแบบการบรรจุนี้ก็ทำให้กินพื้นที่ในการขนส่งไปด้วยเช่นกัน

แก้ไม่ไหว ทำใหม่ก็ได้

ใน (ปีค.ศ. 1960s) บริษัท P&G ต้องการจะรุกเข้าสู่ตลาดมันฝรั่งทอดจึงเห็นโอกาสที่จะใช้การแก้ปัญหาดังกล่าวมาสร้างความแตกต่างให้สินค้าของตน
โดยวิธีการที่ P&G ใช้ก็คือ การนำมันฝรั่งไปแปรรูปด้วยการบดและทำให้แห้งเป็นผงคล้ายแป้ง จากนั้นจึงนำไปผสมกับส่วนผสมอื่นๆ เช่น แป้งข้าวโพด, แป้งสาลี, แป้งข้าวเจ้า, เกลือและเครื่องปรุงอื่นๆ คล้ายกับการทำขนมปัง
ซึ่งก้อนแป้งมันที่ได้จะถูกตัดเป็นแผ่นเท่าๆ กันแล้วจึงนำไปทอด



ด้วยวิธีนี้มันฝรั่งทอดแบบพริงเกิลส์จึงมีแผ่นที่หนา ไม่อมน้ำมันและมีขนาดเท่ากันทั้งหมดช่วยให้สามารถจัดเรียงใส่ท่อในแนวตั้งได้ซึ่งนอกจากจะประหยัดเนื้อที่แล้ว
ยังสามารถปิดฝาเพื่อเก็บไว้กินต่อทีหลังได้ด้วย
โดย P&G ได้วางจำหน่ายมันฝรั่งทอดแบบใหม่นี้ในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1967 (พ.ศ. 2511) และเริ่มส่งออกในอีก 8 ปีต่อมา

เกล็ดเล็กเกล็ดน้อย

1. พริงเกิลส์เรียกได้ว่ามีผู้คิดค้น 2 คน คือ Fredric Baur เป็นผู้พัฒนาวิธีผลิต, ออกแบบรูปร่างแผ่นมันทอดรวมถึงกระบอกบรรจุในปี 1956-1958 แต่ไม่สามารถพัฒนารสชาติให้ลงตัวได้ ต่อมาในปี 1960 Alexander Liepa จึงนำโครงการของ Fredric Baur มาปัดฝุ่นโดยพัฒนารสชาติให้ถูกปากผู้บริโภคมากพอจนสามารถออกขายได้
2. Fredric J. Baur. ผู้คิดค้นกระบอกใส่พริงเกิลส์ ภูมิใจในการคิดค้นครั้งนี้มากจนขอให้ฝังเถ้ากระดูกของตนในกระบอกพริงเกิลส์ ซึ่งญาติๆของเขาจัดให้ตามที่ต้องการเมื่อเขาเสียชีวิตในปี 2008
3. หลังจากวางขายในปี 1967 พริงเกิลส์มียอดขายย่ำแย่จน P&G เกือบยกเลิกการผลิต แต่การปรับปรุงรสชาติและแคมเปญการตลาด “Fever for the Flavor of Pringles” ในปี 1980 ได้ช่วยพลิกสถานการณ์ไว้
4. ในบางประเทศเช่น อังกฤษ จะถือว่าพริงเกิลส์ไม่ใช่มันฝรั่งทอดกรอบ เนื่องจากศาลสูงประเทศอังกฤษได้พิพากษให้ "พริงเกิ้ลส์" ไม่ใช่มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบ แต่จัดอยู่ในกลุ่มขนมปังและเค้กเนื่องจากมีมันฝรั่งเป็นส่วนผสมเพียง 42% ส่งผลให้ไม่ต้องถูกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 17.5%